วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

เคล็ดลับหน้าใสด้วยผลไม้


สูตรสาวหน้าใสน้ำผึ้งผสมมะนาว
ส่วนผสม มีแค่น้ำผึ้งกับน้ำมะนาว ใช้น้ำผึ้ง 1 ถ้วย กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้า นวดไปเรื่อยๆ ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น
สูตรสาวหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล
ใช้แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ นำมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นำมา ทาให้ทั่วใบหน้า แล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย
สูตรกระชับรูขุมขน
ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ด ออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยวลงไป นำไปปั่นให้ละเอียด จนเป็นเนื้อ ครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)
ใช้โยเกิร์ต 1/2 ถ้วย น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสด 1 1/2 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสม 3 ชนิดผสมให้เข้ากัน นำพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย
สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย
นำกล้วย 1 ผล ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง
สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา ใช้แตงกวา 1 ผล ไข่ไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและใส่น้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมา พอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม
เคล็ดลับที่ควรคำนึงถึง
-  ผลไม้ที่ใช้ต้องสด มีคุณภาพดี
-  ภาชนะที่ใช้ใส่ผลไม้ ส่วนผสมต่างๆ ควรใช้แก้วหรือกระเบื้อง
-  ก่อนทำการพอกหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด โดยการอัง ใบหน้ากับไอน้ำ
    และนวดเบาๆ เพื่อเปิดรูขุมขน
-  เวลาพอกหน้าไม่ควรพูดคุยหรืออ่านหนังสือ

วิธีแก้ริมฝีปากแห้ง

ทาลิปมัน

                    ใครที่ประสบกับปัญหาริมฝีปากแห้ง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีแก้มาฝากกัน…
          อย่างแรกต้องรู้ก่อนว่า แท้จริงแล้วอาการปากแห้งมีสาเหตุมาจากการดื่มน้ำน้อยความเครียด การพูดเป็นเวลานานๆ การรับประทานยารักษาโรคบางชนิด รวมทั้งการรับรังสีเพื่อการรักษาโรค
          อาการปากแห้งหากปล่อยทิ้งไว้ อาการอาจรุนแรงจนริมฝีปากแห้งแตกลอกเป็นขุย หนักเข้าปากอาจเริ่มเจ่อบวมแดง จนเกิดอาการเจ็บแสบในยามขยับปากหรือรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน นอกจากนี้ปากแห้งมากจนน้ำลายเหนียว ก็สามารถส่งผลให้เชื้อโรคในช่องปากจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดกลิ่นปากตามมาอีกด้วย
          สิ่งสำคัญที่สุดในการแก้อาการปากแห้งคือการดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ หรือจิบน้ำอุ่นบ่อยๆ หากปากแห้งมากจนลอกเป็นขุย ให้ใช้น้ำอุ่นผสมเกลือป่นเล็กน้อยใช้สำลีหรือทิชชูชุบให้เปียกพอหมาดๆ แล้วใช้ปากคาบทิ้งไว้ 3-5 นาที หรือเช็ดไล้เบาๆ ไปบนริมฝีปาก จะช่วยให้ขุยต่างๆ หลุดลอกออกไปได้ และหมั่นทาลิปมันหรือปิโตรเลียมเจลบนริมฝีปากเป็นประจำ
          ถ้าริมฝีปากแห้งอีกครั้งหน้า ก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้
  ข้อมูลจาก
 

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

กะหล่ำปลีกับสุขภาพ

  ใคร ๆ ก็รู้จักกะหล่ำปลี แต่น้อยคนที่รู้ว่ากะหล่ำปลีมีตัวยามหัศจรรย์ สามารถป้องกันคุณจากโรคร้ายอย่างคาดไม่ถึง
กะหล่ำปลี พื้นเพเดิมอยู่ที่เมดิเตอเรเนีย ต่อมาแพร่กระจายไปทั่วโลก
สำหรับประเทศไทยแต่เดิมปลูกได้ดีเฉพาะภาคเหนือและอีสาน เพราะการจะห่อตัวเป็นปลีได้จำเป็นต้องได้รับอากาศหนาว
ต่อมามีการปรับปรุงพันธุ์ทนร้อนทำให้สามารถปลูกได้ทั่วประเทศ และทุกฤดูกาล
กะหล่ำปลีที่พบเห็นในตลาดบ้านเรามีสามชนิดคือ
1. กะหล่ำปลีธรรมดา
2. กะหล่ำปลีแดง (Red Cabbage) ใบเป็นสีแดงทับทิม ขึ้นดีในที่อากาศหนาวเย็น
3. กะปล่ำปลีใบย่น (Savoy Cabbage) ผิวใบหยิกย่น ต้องการอากาศหนาวเย็นพิเศษเช่นกัน
ทั้งสามพันธุ์มีประโยชน์ทางโภชนาการ แต่เฉพาะพันธุ์ธรรมดาเท่านั้นที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้
ประโยชน์ของกะหล่ำปลี
ในเชิงโภชนาการกะหล่ำปลีครึ่งถ้วยมีวิตามินซีประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์ ของที่ร่างกายต้องการต่อวัน
นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัสสำหรับสร้างกระดูก
ในสมัยโบราณ เคยมีบันทึกเกี่ยวกับการใช้กะหล่ำปลีเป็นยา เช่น Cato the Censor( 234 - 149 ปีก่อนคริสตกาล) บันทึกไว้ว่า
"กะหล่ำปลีช่วยสลายหนองจากแผลและมะเร็ง" และกะหล่ำปลีถูกใช้เป็นยาครอบจักรวาลในประวัติศาสตร์โรมัน
แต่ที่กำลังสนใจมากตอนนี้คือฤทธิ์ต้านมะเร็งครับ
การค้นพบอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ครั้งแรกเกี่ยวกับกะหล่ำปลี เกิดเมื่อปี 1931 เมื่อนักวิจัยชาวเยอรมันทดลองฉายรังสีแก่หนูให้ถึงแก่ความตาย
เขาพบโดยบังเอิญว่า หากหนูทดลองได้รับกะหล่ำปลีเป็นอาหารจะทนต่อรังสีมากกว่าหนูธรรมดา
ในปี 1950 นักวิจัยชาวฝรั่งเศสและในปี 1959 กองทัพสหรัฐ พบปรากฎการณ์เดียวกัน
ต่อมา ดร.แซกซอน เกรแฮม นักระบาดวิทยา ประธานคณะกรรมการเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม มหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์กค้นพบว่า
มะเร็งสามารถถูกยับยั้งได้โดยการรับประทานอาหารที่ถูกต้อง โอกาสเกิดมะเร็งแปรผันเป็นสัดส่วนกับการกินผัก
ลักษณะเช่นนี้ทางเภสัชวิทยาเรียกว่า "Dose Respond" หมายความว่า ถ้าคุณกินผักมากก็ได้รับผลการรักษามากกว่ากินผักขนาดต่ำ
นายแพทย์ลี วัตเทนเบิร์ก ศาสตราจารย์ทางด้านสรีระ คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยมินเนโซตา ได้ทดลองให้หนูกินพืชตระกูลกะหล่ำหลายชนิด แล้วจึงฉีดสารก่อมะเร็งเข้าในตัวหนู พบว่า หนูส่วนใหญ่ไม่เป็นมะเร็ง
ดร.โทมัส เคนส์เลอร์ มหาวิทยาลัย จอห์น ฮอปส์กิน สกัดสารอีกกลุ่มหนึ่งคือ Dithiolthiones จากกะหล่ำปลี พบว่ามันเป็นสารต้านมะเร็งที่ทรงพลานุภาพ
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยในประเทศนอร์เวย์และอื่น ๆ ที่ให้ผลตรงกันในการป้องกันและลดความรุนแรงของมะเร็งในลำไส้ได้อย่างดี
จากการทดลองในห้องปฏิบัติการ พบว่าน้ำคั้นจากกะหล่ำ สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในลำไส้
นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นอย่างน้อยสองรายจดทะเบียนลิขสิทธิ์วิธีสกัดสาร 'Desmutagen' จากกะหล่ำปลีเพื่อรักษาโรคแผลในกระเพาะ
ดร.การ์เนตต์ เชนีย์แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ทดลองให้น้ำคั้นกะหล่ำปลีแก่ผู้ป่วยที่เป็นแผลในกระเพาะและลำไส้จำนวน 55 ราย
พบว่าผู้ป่วยฟื้นตัวและหายจากอาการแผลในทางเดินอาหารเร็วกว่าคนไข้ทั่วไปถึง 83 เปอร์เซ็นต์
ในปี 1973 นักวิทยาศาสตร์ ค้นพบสาร Gefarnate ในกะหล่ำปลี ซึ่งมีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะ ช่วยกระตุ้นเซลล์เยื่อบุกระเพาะและลำไส้ ให้สร้างน้ำคัดหลั่งคลุมผิวทางเดินอาหาร ปกป้องแผลจากกรดในกระเพาะแต่ต้องเป็นกระหล่ำปลีชนิดสีขาว สีม่วงใช้ไม่ได้และต้องใช้สด ๆ
เราลองมาทำน้ำกะหล่ำปลีให้คนในครอบครัวดื่มเปลี่ยนรสชาติกันบ้างครับ เป็นเครื่องดื่มแปลกตำรับต่างประเทศ ทำง่าย ได้ประโยชน์แก่สุขภาพ


ที่มา : นิตยสาร "รุ้ง" คอลัมน์ "ครัวสุขภาพ" โดย เภสัชกรสรจักร ศิริบริรักษ์

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

การดูแลรักษาเล็บให้มีสุขภาพดี





การดูแลรักษาเล็บให้มีสุขภาพดี

1 หมั่นทะนุถนอมเล็บ คอยระวังไม่ให้เล็บได้รับอันตราย
อย่าใช้เล็บเป็นเครื่องมือ หลายๆ ท่านที่ใช้เล็บมือ ต่างไขควง ทารุณกันอย่างนี้เล็บก็พังแน่ นอกจากนั้นการถนอมเล็บทำได้โดยแทนที่จะใช้นิ้วหมุนโทรศัพท์ ก็เปลี่ยนมาใช้ดินสอแทน บางคนเวลาค้นหาอะไรในกระเป๋า ก็ใช้เล็บควานไปทั่ว แบบนี้เล็บก็เสีย จำไว้เวลา จะหยิบจะจับอะไร ให้ใช้ปลายนิ้วจับแทนที่จะใช้เล็บ
2. ระหว่างที่ทำงานกวาดบ้านทำงาน หรือล้าง ถ้วยล้างชาม ควรสวมถุงมือ

ทั้งนี้เพราะเมื่อเล็บโดนสารเคมี เช่น สบู่ ผงซักฟอก น้ำมันทำความสะอาด จะทำให้เล็บเสีย คือเล็บเปราะเล็บขรุขระ และเล็บแตกได้ นอกจากนั้นก็ทำให้ผิวหนังข้างเล็บอักเสบติดเชื้อโรคได้ง่าย
3. ไม่ควรทำเล็บบ่อยเกินไปการทำเล็บบ่อยๆ

 อาจทำอันตรายต่อเยื่อหุ้มเล็บ (cuticle ) ซึ่งเป็นผิวหนังส่วนที่ปกคลุมโคนเล็บอยู่ นอกจากนั้นการทำเล็บโดยเครื่องมือที่ไม่สะอาด ก็เป็นหนทางที่ทำให้ผิวหนังรอบเล็บติดเชื้อโรคเกิดการอักเสบตามมาได้ 
4. ก่อนจะตัดสินใจเลือกเครื่องสำอางที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาเล็บ

ต้องเข้าใจถึงวิธีใช้ให้ละเอียด รวมถึงผลเสียที่ตาม มาด้วย อย่าฟังแต่เพียงคำโฆษณาอย่างเดียว น้ำยาพวกเคลือบชักเงาเล็บ เมื่อทาแล้วต้องทิ้งไว้ให้แห้งนาน 15 นาที มิเช่นนั้น ถ้าเล็บยังไม่แห้งแล้วไปถูกผิวหนังส่วนอื่นของร่างกาย อาจเกิดการระคายเคืองได้ 

      สีทาเล็บทำให้เกิดการแพ้ได้เช่นกัน อาการแพ้ สีทาเล็บมักเกิดในตำแหน่งที่หลายคนคาดไม่ถึง คือเป็น ผื่นรอบดวงตาจนทำให้ดูคล้ายตัวแร็กคูน เพราะใช้เล็บเกาเปลือกตาโดยไม่รู้ตัว เมื่อมีอาการแพ้สีทาเล็บในขั้นแรกอาจเปลี่ยนยี่ห้อก่อนโดยยังใช้สีเดิม ถ้าแพ้อีกให้ลองเปลี่ยนสี บางคนอาจแพ้เฉพาะสีบางสีแต่ถ้าทั้งเปลี่ยนสีและยี่ห้อแล้วยังมีอาการแพ้ ที่พบมากจะแพ้เกิดผื่นคัน อาการแพ้ที่พบมากจะเกิดผื่นคันที่เปลือกตา ถ้าต้องการใช้ยาทาเล็บอยู่ ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อรับการทดสอบว่าแพ้ส่วนประกอบใดในยาทาเล็บ เมื่อทราบแล้วจะสามารถเลือกยาทาเล็บที่ไม่มีส่วนประกอบนั้นได้
5. เล็บขบ

ปัญหาเรื่องเล็บขบที่เป็นกับเล็บเท้านั้นเกิดจากการตัดเล็บไม่ถูกวิธี คือ ตัดเล็บโค้งมากเกินไปเมื่อเล็บงอกใหม่จะแทงเข้าไปในหนังหุ้มเล็บข้างๆ ควรตัดเล็บเท้าให้ปลายเรียบเสมอกัน ไม่ต้องโค้งงอ และไม่ควรใส่รองเท้าที่แคบเกินไปรวมถึงมีหัวแหลมเรียวเกินไป นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงรองเท้าส้นสูงด้วยเพราะน้ำหนักจะทิ้งตัวลงมาบนเล็บมากขึ้น
6. การตะไบเล็บ

ต้องใช้ตะไบเล็บด้านที่เป็นเม็ดละเอียด เวลาตะไบให้ตะไบจากด้านข้างเข้าสู่ตรงกลางเล็บ อย่าตะไบจากตรงกลางออกไป
7. การดูแลรักษาหนังหุ้มโคนเล็บ

ต้องทำด้วยความระมัดระวัง ต้องแช่มือแช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนเป็นเวลา 2-3 นาที แล้วจึงค่อยๆ ทำความสะอาดหนังบริเวณนี้ ครีมให้ความชุ่มชื้นหรือน้ำมันมะกอกจะช่วยหล่อเลี้ยงหนังบริเวณนี้ให้ชุ่มชื้น ไม่แห้งและลอกแตกเป็นขุยได้ การใช้เครื่องมือแข็งๆ เขี่ยทำ ความสะอาดบริเวณหนังหุ้มโคนเล็บอาจทำให้เล็บได้รับบาดเจ็บ เกิดเป็นร่องหรือสันนูนขึ้นได้
8. ถ้าเล็บแห้งเกินไป 

เล็บจะเปราะและแตกง่าย การดูแลรักษาเล็บที่แห้ง ทำได้ง่ายๆ คือก่อนนอนให้แช่มือลงในน้ำอุ่นสัก 10-15 นาที ซับน้ำให้แห้งหมาดๆ แล้วทาครีมให้ความชุ่มชื้นที่มือและเล็บ
9. โฆษณาชวนเชื่อที่ว่าถ้าคุณมีเล็บเปราะและแตกง่าย

ควรได้รับสารอาหารคือ เจลาติน แคลเซียม เหล็ก กินนั้น เป็นโฆษณาที่ไม่จริง โปรตีนของเล็บเป็นชนิดเคอราติน ไม่ใช่เจลาติน นอกจากนั้น แคลเซียมและเหล็กในเล็บเป็นส่วนประกอบที่มีเพียงเล็กน้อย และมักได้รับเพียงพอจากอาหารประจำวันอยู่แล้ว
      การดูแลรักษาเล็บดังกล่าวมาแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก แม้ว่าเล็บจะเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว แต่ถ้าคุณดูแล ไม่ดีพอนอกจากเล็บจะดูไม่งามทำให้เสียบุคลิกแล้ว ผิวหนังซึ่งเป็นอวัยวะข้างเคียงกับเล็บก็จะอักเสบตามไปด้วย สมกับสำนวนไทยที่ว่า หยิกเล็บเจ็บ

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

7 เคล็ดลับการกินเพื่อสุขภาพ

 7 เคล็ดลับการกินเพื่อสุขภาพ ดังนี้

           1.กินอาหารเช้าเป็นประจำ มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด และควรเป็นมื้อ ที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น

           2.เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ (มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น อาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากโคเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหาร และปัจจัยอื่น ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดโคเลสเตอรอลและความดันโลหิต หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น

           3.เพิ่มผักและผลไม้ในมื้ออาหาร และกินเป็นประจำ เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่ และสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และช่วยนำโคเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่างๆในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ


           4.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาล และสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากกินขนมอาจหันมากินขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืช เช่น ขนมปังโฮลวีต คุกกี้หรือแคลกเกอร์ผสมมอลต์ เป็นต้น เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรกินในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น


           5.กินปลา ไข่ และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีโปรตีน เหล่านี้ยกเว้นไข่แดงที่มีไขมันน้อย จึงลดความเสี่ยงโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น


           6.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักและผลไม้ หรือเครื่องดื่มมอลต์ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย อาจใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วยพักฟื้น สตรีมีครรภ์ นักกีฬา นอกจากนี้หากดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับง่าย เพราะมีสารทริปโตแฟนทีช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย แต่ต้องชงโดยใช้น้ำตาลให้น้อยที่สุด



           7.ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้วทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แคลเซียม เป็นต้น ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ชนิดของนมขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กที่กำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนย เพื่อลดโคเลสเตอรอล หรืออาจเลือกนมผสมมอลต์เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้สูงขึ้


วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน ด้วยสูตร ไข่ขาวลอกสิวเสี้ยน


วิธีกำจัดสิวเสี้ยน ด้วยสูตร ไข่ขาวลอกสิวเสี้ยน

     

        วันนี้เรามีวิธีกำจัดสิวเสี้ยนมาฝากคุณผู้หญิงที่กำลังหา วิธีกำจัดสิวเสี้ยน กันอยู่ค่ะ และเราจะนำเสนอ วิธีกำจัดสิวเสี้ยน แบบธรรมชาติด้วยสูตร ไข่ขาวลอกสิวเสี้ยน นี่เองค่ะ คุณผู้หญิงหลาย ๆ ท่านอาจเคยได้ยิน วิธีกำจัดสิวเสี้ยน ด้วยการใช้ใข่ขาวกันมาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่คุณผู้หญิงหลาย ๆ ท่านที่ยังไม่รู้ว่าวิธีใช้ ไข่ขาวลอกสิวเสี้ยน ฉะนั้นวันนี้เราจึงจะมาบอกขั้นตอนในการใช้ไข่ขาวลอกสิวเสี้ยนแก่คุณกันค่ะ ว่าแล้วเราก็มาดูวิธีกำจัดสิวเสี้ยนกันเลยค่ะ

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

    ไข่ขาวมีประโยชน์ต่อผิวหน้า โดยเฉพาะถ้าต้องการขจัดสิวสิวเสี้ยนหรือสิวหัวดำ แบบใบหน้าไม่ต้องช้ำด้วยมือกด หรือใช้มือบีบให้ผิวช้ำ   
เริ่มต้นด้วยการล้างหน้าให้สะอาดซับให้แห้งแล้วใช้แผ่นสำลีไม่หนาหรือบางจนเกินไป ชุบไข่ขาวแล้วนำมาแปะบนใบหน้ายกเว้น รอบดวงตาและริมฝีปากแล้วนอนรอ   
เมื่อสำลีที่ชุบไข่ขาวบนใบหน้าแห้งสนิทดีแล้ว (ต้องแห้งจริง ๆ) จึงลอกออก สังเกตสำลีที่ถูกลอกจะเห็นสิวหัวดำติดออกมาและหัวสิวขาว ๆ เหลืองออกมาเต็มเลย จากนั้นใช้น้ำอุ่นเช็ดใบหน้าและล้างออกด้วยน้ำเย็นเพื่อปิดรูขุมขน

                         ที่มา : 

27 วิธีทําให้ผิวขาว

27 วิธีทําให้ผิวขาว

         หากพูดถึงวิธีทำผิวขาวผู้หญิงหลายคนอาจหูผึ่งและยิ่งเมื่อได้รู้ว่ามีวิธีที่จะสามารถทำให้คล่ำ ๆ ของคุณทำให้กลาย เป็นผิวขาวใสขึ้นได้ คุณผู้หญิงหลายคนคงจะไม่ปฏิเสธถึงเคล็ดลับ 27 วิธีทำให้ผิวขาว ที่เรากำลังจะบอกคุณ ๆ ใช่ไหม
 วิธีทําให้ผิวขาว ได้แก่
1. วิธีขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้ารากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบนสุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอกทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่าอยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้วเซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวาและดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง
2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิวก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่าง ๆ เช่น ใยบวบหรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง
 3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และหากขัดมากเกินไปก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่น ๆ ได้ง่าย
 4. ถ้าไม่กำจัดออกไปผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือผิวจะหม่นหมองดูแล้วมีความมันหรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดีทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว
 5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้าก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัดเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง

6. วิธีขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบและผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย
7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบา ๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบา ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียนใช้น้ำล้างออกให้สะอาดซับให้แห้งแล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น
8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็นเม็ดกลมเพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอกขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาดแล้วล้างออกด้วยน้ำมาก ๆ
9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติเป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไปอาจทำให้แสบผิวได้เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสากและหยาบ เวลาขัดจึงควรขัดเบา ๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำและเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง
10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิวโดยใช้ร่วมกับสบู่หรือเจลอาบน้ำก็ได้
11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่างเติมเกลือเม็ดลงไปและเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบา ๆ ให้ทั่วตัวและล้างตัวด้วยน้ำสะอาด
12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบา ๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไปหรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่หรือเจลอาบน้ำก็ได้
13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้นควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนาน ๆ





(ผิวขาวใส)(วิธีขัดผิว)2010
14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็ก ๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่วแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้าย ๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ น้ำตาล อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอมอีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด

16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่าย ๆ ด้วย การใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อยแต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคืองมีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ

17. มะขามเปียก สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคลมีความเป็นกรดช่วยทำความสะอาดผิวทำให้ผิวขาวใสมีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อน ๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ววิตามินสูงแต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรดเหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวังลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรกแต่ไม่เป็นกรดมาก

18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถนำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น

19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่น เกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคืองและกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคมจึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการเสียดสี

20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้

21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลักปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง

22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่าย ใช้แค่งาขาว งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ

23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่นและเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิวแต่เกรงว่าผิวจะแห้งเกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้วน้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป

24. การเพิ่มนม โยเกิร์ต น้ำผึ้ง หรืออื่น ๆ ที่ช่วยบำรุงผิวสามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไปลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อยจับตัวอยู่บนผิวได้และสะดวกแก่การขัด

25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหยเข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้

26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง ต่อมน้ำเหลืองโต มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมากขึ้น

27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อย ๆ เน้นไปที่ร่องจมูกเลี่ยงจุดที่บอบบางมาก ๆ เช่น รอบดวงตา



ที่มา http://news.siamtrue.com/view/women.374